Saturday, October 20, 2012

เที่ยวละไม...ไปไกลๆบ้าน (Anniversary trip)...ตอนที่ 2

เอาล่ะเข้าปีที่สอง ปีนี้ได้งานทำแล้ว :) ก็เลยแพลนไปเที่ยวไกลบ้าน ที่ที่อยากไปมานานมากแล้ว นั่นก็คือ มหานครชิคาโก นั่นเอง ก่อนหน้าที่จะไปกัน สามีก็พาไปถอยรถที่เคยสัญญาไว้ว่าจะซื้อให้ถ้าได้งานทำ นั่นก็คือเจ้า Infiniti Fx35 รักรถมากๆๆๆๆ ถือว่าช่วงนั้นโชคดี 3 เด้ง ได้งาน ได้รถ ได้ไปชิคาโก ^_^


ว่าแล้วก็ขับน้องบลูไปชิคาโกกัน ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงจากบ้านเพราะแวะปั๊มน้ำมันหาของกินกันตลอดทาง แล้วก็รถติดในเมืองอีกพอสมควร

ชิคาโกเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอเมริกา รองจากนิวยอร์คและลอสแองเจลิส ชื่อเล่นเค้าชื่อ Windy City (เมืองแห่งลม) บางคนก็ว่าชื่อ Windy City แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับลมแรงเลย (แต่มีที่มาที่ไปตั้งแต่ปี 1871  ที่ชิคาโกถูกไฟไหม้ทั้งเมือง แต่ไม่เล่าดีกว่า เรื่องมันยาว) แต่คนส่วนใหญ่หรือพวกฝรั่งเองก็เข้าใจว่าชื่อ Windy City มาจากที่ชิคาโกตั้งอยู่ริมทะเลสาบมิชิแกน มีลมแรงอยู่เป็นประจำตลอดปี คนเค้าก็เลยเข้าใจว่าชื่อ Windy City มาจากสิ่งนี้ เดี๋ยวเราไปดูกันว่าเป็นเมืองที่ลมแรงจริงๆหรือเปล่า


 กำลังขับเข้าเมือง
ตึก SEARS TOWER (อันที่สูงสุดในภาพ) ตึกนี้เคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก  แต่ตอนนี้เป็นแค่ตึกที่สูงที่สุดของชิคาโก

พอเข้ามาถึงตัวเมือง ต้องร้องโอ้โห ตื่นตาตื่นใจมาก (แบบว่าบ้านนอกเข้ากรุงน่ะ) พอเห็นด้วยตาตัวเองก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียก ชิคาโก ว่า "มหานคร" เมืองใหญ่มากๆ มีแต่ตึกสูงระฟ้าแล้วก็มีต้นไม้เยอะในขณะเดียวกันนะ เราว่านี่มันคงเป็นมนต์เสน่ห์ของชิคาโกนะ (อยากให้ กทม เราเป็นแบบนี้มั่งจัง) ตึกมีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลากหลายมาก เมืองที่เราเห็นปัจจุบันเป็นเมืองใหม่เพราะเมืองเก่าถูกไฟไหม้ทำลายเกือบหมดเมื่อ ปี ค.ศ.1871 เค้ากำหนดให้ตึกอาคารห้ามทำด้วยไม้ด้วยนะ และให้ใช้วัสดุทนไฟและแข็งแรงมาใช้ก่อสร้าง คงเพื่อป้องกันไฟใหม้ง่ายอีกมั้ง ทำให้เราเห็นตึกสูงแปลกๆ มากมายในเมืองนี้



 


จองโรงแรมไว้ใน downtown ชื่อ Renaissance (ค่าจอดรถที่นี่แพงมากๆคืนละ 50 US$ อยู่นานๆจนแน่) หลังจากเอาของไปเก็บที่โรงแรม ดูความสวยงามของห้อง ก็ลงมาหาอะไรฟรีกินที่ลอบบี้ของโรงแรม แล้วก็ออกไปเที่ยวทันทีไม่ให้เป็นการเสียเวลา สถานที่ไปแวะอันดับแรกก็คือ Millennium Park สวนกลางเมืองชิคาโก เค้าว่าสวนนี้ลงทุนค่าก่อสร้างไป 75 ล้านเหรียญ แต่เราไม่ได้เดินรอบเพราะจอดรถไว้ในจุดที่ไม่แน่ใจว่าจะโดนปรับเรื่องที่จอดรถหรือเปล่า
ใครมาที่นี่ก็ต้องถ่ายรูปกะเจ้าถั่ว หรือ Bean (ชื่อทางการของมันก็คือ Cloud Gate ) ไม่งั้นเค้าว่ามาไม่ถึงชิคาโก ถั่วชิ้นนี้เป็นสถาปัตยกรรมจากฝีมือของชาวอังกฤษชื่อ Anish Kapoor  ใช้เวลาก่อสร้างนานเป็นปีเลยทีเดียว สวย แปลก โดดเด่นดี ชอบอ่ะ



แล้วเดินต่อไปที่น้ำพุ Buckingham หรือ Buckingham Fountain  ตั้งอยู่ในสวนสาธาณะ ชื่อว่า Grant Park (อยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลจาก Millennium Park) เค้าว่าน้ำพุนี้ได้แรงบันดาลใจมากจากของน้ำพุในพระราชวังแวร์ไซร์ ประเทศฝรั่งเศส ด้านหลังจะเป็นทะเสลาบมิชิแกน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ถ่ายมาแต่ฝั่ง skyline ของเมืองอย่างเดียว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน




ตกเย็นก็ขับรถไปต่อที่ Navy Pier  เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาอีก ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะมาที่นี่อยู่แล้ว Navy Pier เคยเป็นท่าเรือเก่าของกองทัพอเมริกาสมัยสงครามโลก แต่ตอนนี้ปรับปรุงเป็นนที่ท่องเที่ยว มีชิงช้าสวรรค์ให้นั่งเพื่อดูทัศนียภาพสวยๆที่ติด Navy Pier แต่เราไม่ได้ขึ้นไป แค่ไปนั่งชมวิวของทะเลสาบมิชิแกนแล้วก็หาอะไรอร่อยๆกินกันก็มีความสุขแล้ว เสร็จแล้วก็เดินดูร้านขายของ souvenir หรือของที่ระลึก  










 วิวจาก Navy Pier
 วิวจาก Navy Pier ตอนก่อนค่ำ






วันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อตั๋วขึ้น Boat Tour ล่องเรือชมเมืองชิคาโก โดยเค้าพาชมสถาปัตยกรรม ตึกสวยๆ สูงๆ หรือที่เรียกว่า Architecture's Tour นั่นเอง จะบอกว่าสุดยอดมาก สวยจริงๆ ใครมาเที่ยวไม่ควรพลาด จะบอกว่าน้ำในคลองเค้าสะอาดดี ขนาดอยู่ในเมืองใหญ่นะเนี่ย จากจุดที่ขึ้นเรือ เรือจะแล่นออกสู่น่านน้ำของทะเลสาบมิชิแกนก่อน แล้วผ่านประตูปรับระดับน้ำ เนื่องจากน้ำจากระดับของแม่น้ำในชิคาโกที่เรือจะแล่นไปกับระดับน้ำของทะเลสาบมิชิแกนต่างกัน 

 จุดขึ้นเรือ

 เบื้องหลังคือทะเลสาบมิชิแกน
 รอดใต้สะพานเข้าสู่แม้น้ำชิคาโก
 ตึกทรงฝักเข้าโพด หรือ Marina City's twin towers 





  ตึกพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด (Merchandise Mart)




ที่สำคัญอีกที่ ที่เราไม่พลาดก็คือ Magnificent Mile บนถนน Michigan Ave มันเป็นถนนสายสำคัญ (กับเรา) เพราะมันคือถนนสายช้อปปิ้งนั่นเอง เส้นนี้จะเน้นแต่แบรนด์ค่อนข้างหรู แต่ถ้าไปอีกเส้นชื่อ State Street แหล่งช๊อปปิ้งเหมือนกัน แต่จะเป็นแบรนด์ธรรมดาๆหน่อย มัวแต่เดินเพลิดเพลินไม่ค่อยได้ได้เก็บบรรยากาศซะเท่าไร ของราคาแพงบ้าง ไม่แพงบ้าง แต่ถ้าบวก tax ก็จะดูแพงไปเลย tax ที่นี่ 10% แหน่ะ เลยกลับมาซื้อยี่ห้อที่เหมือนกันที่มินนิโซต้าดีกว่าไม่ต้องเสีย tax พวกเสื้อผ้า รองเท้า แต่บางยี่ห้อที่ไม่มีบ้านเราก็ยอมเสีย tax >_<


 
อันนี้คือตึก John Hancock บนถนน Michigan Ave. ชาวชิคาโกเรียกตึกนี้กันคือ Big John ตึกนี้สูง 100 ชั้น

วันกลับก็แวะสวนสัตว์นิดนึงไหนๆก็มาแล้วแล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมด้วย เดินแป็บๆก็กลับแล้ว ไม่มีอะไรตื่นเต้นมาก แล้วกลัวถึงบ้านดึกด้วย
 
 
สรุปว่าเมืองนี้สวยงามอย่างที่คิดฝันไว้ แหล่งบรรเทิงตาและใจเยอะแยะมากมาย และเราสองคนก็ตกลงกันว่าเราจะกลับมากันใหม่อีกแน่นอน อ้อขอคอนเฟิร์มว่าลมเค้าพัดแรงดีจริงๆ Windy City :)

เดี๋ยวกลับมาเล่า ตอนต่อไป ที่เมืองคนบาป ลาสเวกัส รัฐเนวาดา

No comments:

Post a Comment